ดนตรียุค 60's
(Rock'n Roll is Here)
นับตั้งแต่ Bill Haley & His Comets ได้ออกซิงเกิลที่มีชื่อว่า Rock around the clock
ขึ้นมาในปี 1954 นั้น แนวดนตรีแนวใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการดนตรีเลยทีเดียว
ซึ่งนั่นก็ทำให้กระแสเพลงแนวเดิมๆ อย่าง Jazz, Blues ถูกแทนที่ลงด้วยแนวเพลง Rock'n Roll
ภาพ วง Bill Haley & His Comets
หลังจากนั้นไม่นานในต้นปี 1956 ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาทำให้วงการ Rock'n Roll ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งด้วยลีลาที่ไม่เหมือนใครและรูปร่างหน้าตาสุดหล่อ จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก เอลวิส เพรสลีย์ แค่ได้ยินชื่อทุกคนต้องร้องอ๋อ อย่างแน่นอน ในยุค 60 นี้ เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก จนได้ชื่อว่าเป็นราชาเพลงร็อคแอนด์โรลเลยก็ว่าได้
ภาพ เอลวิส เพรสลีย์
ภาพ Bill Haley กับ Elvis Presley
แต่แล้วเมื่อต้นทศวรรษ 60 แนวเพลงร็อคแอนด์โรลเกือบจะดับลง
เพราะความคลั่งไคล้ในร็อคแอนด์โรลเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเปนพฤติกรรมเลียนแบบอย่างไร้สาระ
ถึงแม้ว่าจะเกิดศิลปินหน้าใหม่มากมายแต่ก็ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง
จนมาถึงคราวของศิลปินวงหนึ่งที่ช่วยกู้หน้าร็อคแอนด์โรลขึ้นมา ในช่วงปี 1964
วงนั้นก็คือ The Beatles นั่นเอง ซึ่งมันกลายเป็นการพัฒนาวงการเพลงร็อคแอ่นด์โรลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
The Beatles ได้สร้างปรากฎการณ์ทางดนตรีร็อคอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บทเพลงหลายเพลงของพวกเขานั้นได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งด้วยเวลาที่รวดเร็ว
และถือว่าเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลกอีกด้วย
The Beatles ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ในวงการดนตรี
แต่ยังหมายถึงแฟชั่น วัฒนธรรม ไปจนถึงการเมือง อิทธิพลของพวกเขานั้นไม่ใช่แค่เสื้อผ้า หน้า ผม
แต่ยังรวมไปถึงแนวคิด วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีสิ่งเหล่านี้
The Beatles จึงถือเป็นวงที่สร้างแรงบัลดาลใจในการใช้ชีวิตของคนในยุค 60ได้อย่างดีเยี่ยม และสิ่งเหล่านั้นก็สืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่ยังช่วยสร้างแรงบัลดาลใจและแนวคิดต่างๆให้หลายๆคน
ภาพ วง The Beatles
(จากซ้าย Paul McCartney, John Lennon, Ringo Starr, George Harrison)
ภาพ The Beatles เดินข้ามถนน Abbey R. (ใช้เป็นปกอัลบั้ม)
ซึ่งหลังจากนั้นถนนสายนี้ก็โด่งดังมากจากอิทธิพลของพวกเขา
In my life - The Beatles (live)
1 ในเพลงฮิตติดชาร์ตของ The Beatles
นอกจากนี้ ยังมีศิลปินจากอีกหลายวงในยุค 60 ที่สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในนั้นก็คือวง The Rolling Stones นั่นเอง
ซึ่งเป็นวงร็อคที่สร้างผลงานได้อย่างดุดันและแข็งแรงมากๆ
และนั่นทำให้ The Rolling Stones แตกต่างกับ The Beatles โดยสิ้นเชิง เป็นอีกแนวหนึ่งไปเลย
ภาพ วง The Rolling Stones
ภาพ โลโก้ของวง The Rolling Stones ที่หลายๆคนคงคุ้นตาอยู่บ้าง
ในขณะที่อังกฤษกำลังครอบครองวงการร็อคแอนด์โรลและวงการป๊อปอยู่อย่างหนักนั้น
วงการอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลก็ได้เริ่มมีการโต้ตอบกลับโดยดนตรี ริทึ่มแอนด์บลูส์
ซึ่งเริ่มมีการพัฒนามาเป็นแนวร็อคเต็มตัว และอีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys
และที่สำคัญที่สุดมาจากนักร้อง นักแต่งเพลงโฟล์คชื่อดัง Bob Dylan
ซึ่งถ้าพูดถึง Bob Dylan สำหรับคอเพลง Folk/Folk Rock น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เขาเป็นผู้บุกเบิกเพลงโฟลค และเป็นต้นแบบในหลายๆเรื่องให้แก่ศิลปินรุ่นหลังๆได้เดินตาม
ไม่ว่าจะในเรื่องของแนวทางดนตรี และแม้กระทั่งแนวคิดและวิถีชีวิตในการเป็นนักสู้ของเขา
ตัวอย่างแนวคิดของเขาประโยคหนึ่งที่อาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนเลยก็ว่าได้คือ
“คนเราประสบความสำเร็จได้ ถ้าหากว่าพวกเขาตื่นนอนตอนเช้า เข้านอนตอน กลางคืน และระหว่างนั้นก็ทำสิ่งที่ต้องการทำ”มันคล้ายๆกับว่าถ้าเรามีความตั้งใจและมีเป้าหมายในสิ่งที่อยากจะทำที่ชัดเจนนั้น
เพียงแค่เราลงมือทำและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
สิ่งที่เราคาดหวังนั้นจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ทางวงการดนตรีในครั้งนี้ของทั้งอังกฤษและอเมริกา
ยิ่งเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ทำให้ดนตรีร็อคแอนด์โรลมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับในสังคมทั่วไป
ภาพ Bob Dylan
ในปี 1967 วงการ Rock'n Roll ก็พัฒนาตัวเองไปอีกก้าวใหญ่
ถึงแม้ว่าในยุคนี้จะเป็นยุคที่มีความวุ่นวายทางการเมือง เป็นยุคที่ทุกคนต่างเรียกร้องสันติภาพ
ยุคแห่งการเติบโตของสิ่งเสพติดต่างๆ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ดนตรีร็อค
ได้มีการพัฒนาตัวแทรกเข้าไปในดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นแนวร็อคอย่างเต็มตัว
โดยแนว Blues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock เกิดขึ้นในช่วงนี้จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นปลายยุค 60 ก็มุ่งเข้าสู่ยุค Psychedelic อย่างเต็มตัวจากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin ซึ่งยุคนี้เป็นยุคของการเล่นดนตรีผสมกับยาเสพติด และ Psychedelic คือชื่อเรียกของยุคนี้ จนต่อมาในต้นยุค 70 ดนตรีแนวนี้ก็พัฒนามาเป็น Progressive Rock นั่นเอง ซึ่งวงดนตรีที่สร้างสรรค์บทเพลงได้ล่องลอยและเกิดเป็นตำนานการติดบิลบอร์ดอันยาวนานคงหนีไม่พ้นวง Pink Floyd ในอัลบั้ม Dark side of the moon ที่ยังหาใครทัดเทียมไม่ได้เลย ซึ่งอัลบั้มนี้สามารถขายได้ทั้งหมด 250 ล้านแผ่นทั่วโลก ยืนยันความเป็นที่หนึ่งของยุคนี้จริงๆ
Pink Floyd - Time
อีกสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาดนตรีร็อคในช่วงนี้ คือ ดนตรีโซล (Soul) จากบริษัทแผ่นเสียง Stax1 ซึ่งได้นำจังหวะเพลงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังเข้ามาสู่เพลงร็อค และแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ไม่มีใครหยุดยั้งร็อคแอนด์โรลล์ได้ มันเจริญเติบโตด้วยตัวของมันเองส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการผสมผสานกับดนตรีรูปแบบอื่นอย่างไร้พรหมแดน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นว่า มันมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า
ตัวอย่างเพลงแนว Soft Rock
ในทางด้านดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีเสียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ปะปนอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมาก
ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock ก็ได้เจริญเติบโตและมีรากฐานของตัวเองที่มั่นคง ด้วยการเล่นที่ดุดันและหนักหน่วง มีการแสดงออกที่ชัดเจนทางด้านอารมณ์และความคิด
สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม แต่ว่าดนตรีแนวนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับ
และได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ได้แก่ Glam Rock, Boogie Rock, Pop- Metal และ Soft Rock เป็นต้น
ซึ่ง Soft Rock เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่มีชื่อเสียงและทำให้คนยอมรับเพลงเหล่านี้ ได้แก่ The Carpenters, The Eagles, Elton John และ Chicago กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง
ตลอดทศวรรษที่ 70 ดนตรีร็อคได้มีการพัฒนาและแตกแขนงกลายเป็นดนตรีอีกหลายแนว โดยมีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ Pop Rock, Pop Dance, Folk Rock, Jazz Rock , Disco และอื่นๆ
ปัจจุบันดนตรี Rock ได้วางรากฐานไว้ในดนตรีแทบทุกประเภท โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดนตรีร็อคยังคงพัฒนาไม่หยุดยั้ง และคงยังได้รับความนิยมอยู่เสมอมาจนถึงปัจจุบัน...
ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock ก็ได้เจริญเติบโตและมีรากฐานของตัวเองที่มั่นคง ด้วยการเล่นที่ดุดันและหนักหน่วง มีการแสดงออกที่ชัดเจนทางด้านอารมณ์และความคิด
สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม แต่ว่าดนตรีแนวนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับ
และได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ได้แก่ Glam Rock, Boogie Rock, Pop- Metal และ Soft Rock เป็นต้น
ซึ่ง Soft Rock เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่มีชื่อเสียงและทำให้คนยอมรับเพลงเหล่านี้ ได้แก่ The Carpenters, The Eagles, Elton John และ Chicago กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง
ภาพ วง The Carpenters
ภาพ วง The Eagles
Hotelcalifornia - The Eagles
เป็นแนวเพลงที่ผสมผสานระหว่าง Hard Rock กับ Southern Rock ได้อย่างลงตัว
ปัจจุบันดนตรี Rock ได้วางรากฐานไว้ในดนตรีแทบทุกประเภท โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดนตรีร็อคยังคงพัฒนาไม่หยุดยั้ง และคงยังได้รับความนิยมอยู่เสมอมาจนถึงปัจจุบัน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น