ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์ มนุษย์รู้จักนำดนตรีมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลังจากที่มนุษย์รู้จักการจดบันทึกข้อมูลจึงทำให้คนรุ่นหลังได้ทราบประวัติความเป็นมาของดนตรี การศึกษาประวัติศาสตร์ดนตรี ทำให้เราเข้าใจมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และเข้าใจการสืบทอดทางวัฒนธรรมดนตรี โดยดนตรีสมัยดึกดำบรรพ์มีหน้าที่ 2 อย่างที่สำคัญๆนั่นก็คือ
1 ก่อให้เกิดความตื่นเต้น เร้าใจ
2 ทำให้เกิดความผ่อนคลาย ความสุข
ภาพ ตัวอย่างโน้ตเพลงโบราณ
มนุษย์รู้จักการสร้างเครื่องดนตรีง่ายๆ จากธรรมชาติรอบข้างคือ เริ่มจากการปรบมือผิวปาก เคาะหิน หรือนำกิ่งไม้มาตีกันซึ่งต่อมาได้มีการสร้างเครื่องดนตรีที่มีรูปทรงลักษณะต่างๆ
สำหรับการกำเนิดของดนตรีตะวันตกนั้นมาจากเครื่องดนตรีของชนชาติ กรีกโบราณที่ สร้างเครื่องดนตรีขึ้นมา 3 ชนิดคือ ไลรา คีธารา และออโรสจนต่อมามีการพัฒนาสร้างเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ทั้งประเภทเครื่องสายเครื่องเป่า เครื่องทองเหลือง เครื่องตี และเครื่องดีดหรือเครื่องเคาะ เช่นไวโอลิน ฟลุต กลองชุด กีตาร์ ฯลฯโดยพบเครื่องดนตรีสากลได้ในวงดนตรีสากลประเภทต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ เพึ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค Middle age คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6 และการบันทึกมีเพียงเครื่องหมายแสดงเพียงระดับของเสียง และจังหวะ ( Pitch and time) ดนตรี เกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เรานั่นเอง ในยุคแรกๆมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้ำ ในโพรงไม้ แต่ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่าปาก เป่าเขา และเปล่งเสียงร้องตามเรื่อง การร้องรำทำเพลงไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย
ในระยะแรก ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเริ่มรู้จักการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ จนเกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา
ยุคสมัยดนตรีตะวันตก
การแบ่งยุคต่างๆ นี้เกิดขึ้นเหมือนกับการแบ่งยุคของศิลปะในยุคต่างๆ บางยุคอาจถูกแบ่งย่อยออกเป็นช่วงต้น กลางหรือปลายได้อีก การแบ่งยุคของดนตรีก็เช่นกัน นิยมแบ่งตามลำดับเวลา แม้ว่าการแบ่งยุคสมัยเหล่านี้ จะทำขึ้นเพื่อความสะดวกในการลำดับเหตุการณ์และพัฒนาการต่างๆ แต่ต้องเข้าใจว่า การเปลี่ยนจากยุคหนึ่งไปสู่ยุคหนึ่งนั้นมิได้เกิดอย่างทันทีทันใด แต่ต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเข้าสู่ยุคใหม่ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เกิดขึนในยุคเก่านั้นสูญหายไปทันทีทันใด แต่จะเป็นการค่อยๆหมดความนิยมลงไปและเสื่อมหายไปในที่สุด
จากวิวัฒนาการของดนตรีตะวันตกที่เกิดขึ้น โดยการค้นคว้าของนักดนตรีวิทยานั้น ประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตกสามารถแบ่งได้เป็น 7 ยุคใหญ่ ดังนี้ (*ปีคริส์ตศักราชอาจจะไม่เหมือนกันในตำราแต่ละเล่ม)
- ยุคกลาง( Middle Ages หรือ Middle Period หรือ Mediaeval Period ประมาณ ค.ศ. 850-1450)
- ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ( Renaissance Period ; ค.ศ. 1450 -1600)
- ยุคบาโรก ( Baroque Period ; ค.ศ. 1600 -1750)
- ยุคคลาสสิค ( Classic Period ; ค.ศ. 1750 -1825)
- ยุคโรแมนติค ( Romantic Period ; ค.ศ. 1825 -1900)
- ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค(Impressionistic Period ; ค.ศ. 1850 - 1930)
- ยุคศตวรรษที่ 20 ( Twentieth Century ; ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา)
1. ยุคกลาง (Middle Ages)
ดนตรีในยุคนี้เป็น vocal polyphony คือ เป็นเพลงร้องโดยมีแนวทำนองหลายแนวสอดประสานกัน ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวด (Chant) และเป็นเพลงแบบมีทำนองเดียว (Monophony) ในระยะแรกเป็นดนตรีที่ไม่มีอัตราจังหวะ (Non-metrical) ในระยะต่อมาใช้อัตราจังหวะ ¾ ต่อมาในศตวรรษที่ 14 มักใช้อัตราจังหวะ 2/4 เพลงร้องพบได้ทั่วไป และเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี รูปแบบของเพลงเป็นแบบล้อทำนอง (Canon) นักดนตรีที่ควรรู้จักคือ มาโซท์และแลนดินี
ตัวอย่างโน้ตเพลง 2 แนว
ในปลายยุคได้มีการเล่นดนตรีนอกวงการศาสนาบ้าง โดยจะมีเป็นกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนไปในสถานที่ต่างๆเปิดการแสดงดนตรีประกอบการเล่านิทาน เล่าเรื่องการต่อสู้ของนักรบผู้กล้า เล่นดนตรีประกอบการเล่นมายากลบ้าง และแสดงการเต้นระบำต่างๆ โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อความบันเทิง
ภาพ การเล่นดนตรีของกลุ่มต่างๆ
2. ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance Period)
การสอดประสาน(Polyphony) ยังเป็นลักษณะของเพลงในยุคนี้โดยมีการล้อกันของแนวทำนองเดียวกัน (Imitative style)ลักษณะบันไดเสียงเป็นแบบโหมด(Modes) ยังไม่นิยมแบบบันไดเสียง(Scales) ลักษณะของจังหวะมีทั้งเพลงแบบมีอัตราจังหวะและไม่มีอัตราจังหวะ นักดนตรีที่ควรรู้จักคือ จอสกิน-เดอส์ เพรซ์ ปาเลสตรินา และเบิร์ด เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทในยุคนี้ เครื่องดนตรีที่นำมาใช้เล่นคือ ลูท ออร์แกนลม เวอร์จินัล ขลุ่ยเรคอเดอร์ องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของดนตรียุคนี้ที่ถูกนำมาใช้คือ ความดัง-เบา ของเสียงดนตรี (Dynamic)
ภาพ การเล่นดนตรีในสมัยเรเนซองส์ (ลูท และ ขลุ่ยเรคอเดอร์)
3. ยุคบาโรค (Baroque Period)
ช่วงต้นยุคมีการใช้ลักษณะการใส่เสียงประสาน(Homophony) เริ่มนิยมการใช้เสียงเมเจอร์และไมเนอร์แทนการใช้โหมดต่างๆ การประสานเสียงมีหลักเกณฑ์เป็นระบบ บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเป็นที่นิยมมากขึ้น บทเพลงร้องยังคงมีอยู่และเป็นทีนิยมเช่นกัน นิยมการนำวงดนตรีเล่นผสมกับการเล่นเดี่ยวของกลุ่ม เครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น(Concerto grosso) นักดนตรีที่ควรรู้จัก คือ มอนเมแวร์ดี คอเรลลี วิวัลดี บาค ฮันเดล ลักษณะสำคัญ ของดนตรีในสมัยนี้ก็คือการทำให้เกิด "ความตัดกัน" เช่น ในเรื่อง ความเร็ว-ความช้า, ความดัง-ความค่อย เป็นต้น และในสมัยบาโรคนี้มีการเกิดการบันทึกตัวโน้ตต่างๆที่ได้รับการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน เช่น การใช้บรรทัด 5 เส้น, กุญแจซอล, กุญแจฟา, กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์
4. ยุคคลาสสิค (Classical Period)
เป็นยุคที่ดนตรีมีกฎเกณฑ์แบบแผนอย่างมาก การใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์เป็นหลักในการประพันธ์เพลง ลักษณะของบทเพลงมีความสวยงามมีแบบแผน บริสุทธิ์ มีการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็นสำคัญ ลีลาของเพลงอยู่ในขอบเขตที่นักประพันธ์ในยุคนี้ยอมรับกัน ไม่มีการแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ประพันธ์ไว้ในบทเพลงอย่างเด่นชัด การผสมวงดนตรีพัฒนามากขึ้น นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ กลุค ไฮเดิน โมซาร์ท และเบโธเฟน เพลงที่นิยมแต่งก็พัฒนามาจากสมัยบาโรคแต่ได้มีการปรับปรุงให้มีความยิ่งใหญ่ขึ้น รวมทั้งเพลงประเภทอุปรากร คอนแชร์โต โซนาดา และเพลงซิมโฟนี่ ซึ่งต่อมานินมแต่งมากที่สุด
ภาพ เบโธเฟ่น อัฉริยะทางดนตรี
เพลง ซิมโฟนี่ หมายเลข9
ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่เบโธเฟ่นแต่งได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
5. ยุคโรแมนติค (Romantic Period)
ลักษณะเด่นของดนตรีในยุคนี้ คือ เป็นดนตรีที่แสดงความรู้สึกของนักประพันธ์เพลงเป็นอย่างมาก ฉะนั้นโครงสร้างของดนตรีจึงมีหลากหลายแตกต่างกันไป โดยการพัฒนาหลักการต่างๆ ต่อจากยุคคลาสสิก ลักษณะการประสานเสียงมีการพัฒนาและคิดค้นหลักใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากเพื่อเป็นการสื่อสารแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลง การใส่เสียงประสานจึงเป็นลักษณะเด่นของเพลงในยุคนี้ บทเพลงมักจะมีความยาวมากขึ้นเนื่องจากมีการขยายรูปแบบของโครงสร้างดนตรี มีการใส่สีสันของเสียงจากเครื่องดนตรีเป็นสื่อในการแสดงออกทางอารมณ์ วงออร์เคสตร้ามีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าในยุคคลาสสิค บทเพลงมีลักษณะต่างๆกันออกไป เพลงซิมโฟนี โซนาตา และเซมเบอร์มิวสิกยังคงเป็นรูปแบบที่นิยม ในยุคนี้เป็นสมัยชาตินิยมทางดนตรีด้วย คือ กวีจะแสดงออกโดยใช้ทำนองเพลงพื้นเมืองประกอบไว้ในเพลงที่แต่งหรือแต่งให้มีสำเนียงของชาติตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งเป็นผลให้คนในชาติเดียวกันเกิดความรักใคร่กลมเกลียวกันและหวงแหนในสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่ เช่น ซีเบลิอุส แต่งเพลง ฟินแลนเดีย, โชแปง แต่งเพลง มาซูกา เป็นต้น สำหรับจำนวนของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประพันธ์ แต่ส่วนใหญ่แล้ววงออร์เคสตราในยุคโรแมนติกนี้จะมีผู้เล่นทั้งหมดประมาณ 80 คน โดยเครื่องดนตรีแบ่งเป็นสี่กลุ่มคือ กลุ่มเครื่องสาย กลุ่มเครื่องลมไม้ กลุ่มเครื่องทองเหลือง กลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ
ภาพ วงออเคสตราในยุคโรแมนติก
6. ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค (Impressionistic Period)
ลักษณะสำคัญของเพลงยุคนี้คือ ใช้บันไดเสียงแบบเสียงเต็มซึ่งทำให้บทเพลงมีลักษณะลึกลับคลุมเครือไม่กระจ่างชัด บางครั้งจะมีความรู้สึกโล่งๆว่างๆ เสียงไม่หนักแน่นเหมือนเพลงในยุคโรแมนติก สามารถพบการประสานเสียงแปลก ๆได้ในบทเพลงประเภทอิมเพรสชั่นนิซึม รูปแบบของเพลงมักเป็นบทเพลงสั้นๆ รวมเป็นชุด และในยุคนี้ได้มีการเปลี่ยนบันไดเสียงจากแบบเดียโทนิคซึ่งมี 7 เสียงอย่างเพลงทั่วไป เป็นแบบโฮลโทนสเกล หรือ บันไดที่มี 6 เสียงแทน
ภาพ บันไดเสียงทั้ง 2 แบบ
7. ยุคศตวรรษที่ 20 (Twentieth Century)
ดนตรีในยุคศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของการทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ และนำเอาหลักการเก่าๆ มากพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดในยุคปัจจุบัน เช่น หลักการเคาเตอร์พอยต์ (Counterpoint) ของโครงสร้างดนตรีแบบการสอดประสาน มีการใช้ประสานเสียงโดยการใช้บันไดเสียงต่างๆ รวมกัน ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้การประสานเสียงที่ฟังระคายหูเป็นพื้น (Dissonance) วงดนตรีกลับมาเป็นวงเล็กแบบเชมเบอร์มิวสิก ไม่นิยมวงออร์เคสตรา มักมีการใช้อิเลกโทรนิกส์ทำให้เกิดเสียงดนตรีซึ่งมีสีสันที่แปลกออกไป เน้นการใช้จังหวะรูปแบบต่างๆ บางครั้งไม่มีทำนองที่โดดเด่น กล่าวโดยสรุปคือ โครงสร้างของเพลงในศตวรรษที่ 20 นี้มีหลากหลายมาก สามารถพบสิ่งต่างๆตั้งแต่ยุคต่างๆมาที่ผ่านมา แต่มีแนวคิดใหม่ที่เพิ่มเข้าไป นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ สตราวินสกี โชนเบิร์ก บาร์ตอก เบอร์ก ไอฟส์ คอปแลนด์ ชอสตาโกวิช โปโกเฟียฟ ฮินเดมิธ เคจ เป็นต้น
ภาพ วงดนตรีแบบแชมเบอร์
(ผู้บรรเลงน้อยคน ตั้งแต่ 2-3 คน หรืออย่างมาก 5-9 คน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น